สาวยอมรับสร้างเรื่องใส่ร้าย หลวงพี่กาโตะ

สาวยอมรับสร้างเรื่องใส่ร้าย หลวงพี่กาโตะ

เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเรืองราวที่เป็นที่พูดถึงกันอย่างมาก เมื่อมีวิดีโอเสียงและแชตของหญิงสาวรายหนึ่ง กับพระนักเทศน์ชื่อดังทางภาคใต้ ในวิดีโอเสียงพูดถึงการที่พระมีความสัมพันธ์กับหญิงสาวและยังอ้างว่าไม่บาป ขึ้นอยู่กับเจตนา

และฝ่ายหญิงตอบว่าให้ทั้งตัวนั่นแหละ ต่อมา พระพงศกร ปภัสสโร หรือ หลวงพี่กาโตะ รักษาการเจ้าอาวาสวัดเพ็ญญาติ อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช ยืนยันว่าเสียงในวิดีโอไม่ใช่ตนแน่นอน แต่ยอมรับว่าเสียงคล้ายมาก อาตมาเป็นคนเต็มที่กับงานและการสร้างวัด ไม่มีเวลาไปทำเรื่องแบบนั้น

เสียงในวิดีโอตัดต่อหรือไม่ อีกทั้งไม่รู้จักผู้หญิงคนดังกล่าว จนเกิดกระแสพูดถึงนอย่างหนักหน่วง ความคืบหน้าล่าสุด วันที่ 28 เมษายน 2565 รายงานว่า หญิงสาวชื่อ ตอง ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ระบุว่าไม่อยากพูดเรื่องนี้แล้ว เพราะความจริงตนเป็นไบโพลาร์

ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2564 ตนต้องออกจากงานเพื่อมารักษาตัวที่บ้าน พื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช พร้อมเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลและคลินิก จนตอนนี้สามารถกลับมาทำงานและใช้ชีวิตตามปกติได้แล้ว โดย ตอง กล่าวว่า เหตุการณ์ทั้งหมดทั้งวิดีโอเสียงและข้อความแชตกัน

ตนสร้างเรื่องขึ้นมาเพราะอาการและอารมณ์ที่ไม่ปกติของตนเอง อาการนี้ทำได้หมด สามารถจินตนาการอะไรก็ได้และถึงขั้นลงมือทำ ทั้งนี้ ตนอยากจะขอโทษสังคม ขอโทษทุกคน ขอโทษพระพุทธศาสนา และทุกฝ่ายที่ทำให้เสีย จากนี้ขอไม่ให้สัมภาษณ์เรื่องที่เกิดขึ้นในส่วนที่เกี่ยวกับหลวงพี่

เพราะถือว่าตนพูดไปหมดแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง คดีพลิกแบบนี้ แต่เรื่องราวยังไม่จบ เพราะโลกออนไลน์ยังคงแสดงความคิดกันมากมาย เพราะสงสัยว่าวิดีโอเสียงสามารถทำให้เนียนได้ขนาดนั้นเลยเหรอ มันยากมาก แล้วเธอเก่งมาจากไหนถึงสามารถทำได้ อยากให้โชว์ฝีมือตัดต่อวิดีโอเสียงให้สังคมได้ดู เพราะถ้าทำได้จริงก็คงระดับฮอลลีวูด

ทั้งนี้ มีชาวโซเชียลพูดถึงแรงถึงขั้นมองว่าเรื่องนี้อาจมีการจ่ายค่าเสียหายให้กันแล้วหรือไม่ ฝ่ายหญิงถึงได้ออกมาแก้ข่าวเร็วขนาดนี้ เรียกว่า จ่ายครบจบแน่ หรือ เจอ จ่าย จบ ง่ายหายไว เงินคงเข้าบัญชีแล้วแน่ ๆ หลายคนงงว่าจินตนาการอย่างไร จนมีสลิปการโอนเงินก็เป็นหลักฐาน อีกด้านมองว่าตอนแรกที่ปล่อยวิดีโอเสียงออกมายังไม่เชื่อ แต่ผ่านไปไม่กี่วัน

บอกออกบอกว่าเป็นอาการ แหม ตอนนี้เชื่อทันทีเลยว่าคงเป็นอย่างข่าวลือ เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมชาติ ถ้าไม่ติดที่ฝ่ายหนึ่งห่มผ้าเหลืองอยู่คงไม่มีใครว่าอะไร ถ้าอยากจะทำเรื่องแบบนี้ก็ควรลาสิกขาออกไปก่อน อย่างไรก็ตาม หลายคนกำลังหาความเชื่อมโยงระหว่างไบโพลาร์ กับการสร้างหลักฐานเท็จ

เพราะไม่มีความเชื่อมโยงกันเลย เหมือนไปโทษอย่างอื่นทั้งที่ยังไม่ศึกษารายละเอียดและธรรมชาติของสิ่งนั้น เนื่องจากเป็นสิ่งที่มีความผิดปกติทางอารมณ์แบบ 2 ขั้ว คือ อารมณ์ดี สนุกสนาน นอนน้อย กับอารมณ์เศร้า เบื่อหน่าย ท้อแท้ นอนมาก มองทุกอย่างในแง่ลบ แต่หญิงสาวกลับบอกว่าเป็นการจินตนาการแล้วลงมือทำหลักฐานปลอมขึ้นมา แบบนี้ก็ได้เหรอ

อย่างไรก็ดีคงต้องรอการตรวจสอบที่ชัดเจนกันต่อไปนะคะ

ขอบคุณข้อมูลจาก เดลินิวส์ออนไลน์ เฟซบุ๊ก สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว